นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมปาฐกถาในนามสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ งาน ESG Symposium 2024 : Driving Inclusive Green Transition ยิ่งเร่งเปลี่ยนยิ่งเพิ่มโอกาส
เมื่อวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2567 เวลา 14.35 น. นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมปาฐกถาในนามสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ทีมสระบุรี งาน ESG Symposium 2024 : Driving Inclusive Green Transition ยิ่งเร่งเปลี่ยนยิ่งเพิ่มโอกาสโดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม เข้าร่วมงานและกล่าวว่า "ข้อเสนอในวันนี้ รัฐบาลจะรับไป สิ่งใดที่สามารถทำได้จะประสานงานโดยเร็ว สิ่งใดต้องการความร่วมมือกับส่วนที่เกี่ยวข้อง เรา ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้กัน นอกจากสิ่งที่รัฐจะทำแล้ว ภาคธุรกิจเองจะต้องปรับตัว แสวงหาโอกาส และเสริมสร้างขีดความสามารถในการตอบสนองต่อเป้าหมาย Net Zero โดยบูรณาการมาตรการเพื่อความยั่งยืน หรือ ESG เพื่อสร้างการเติบโต ที่มีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน เราทุกคนจะร่วมกันเปลี่ยนความท้าทาย แรงกดดัน และ ข้อจำกัด เป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกมิติ การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน คือหัวใจแห่งความสำเร็จรัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนทุกๆ นโยบายสำคัญ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่การเจริญเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"
พร้อมด้วยนางจิตตินันท์ เชาวรินทร์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสระบุรี,นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี,ดร.ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย คณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน,รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กรหน่วยบริหารและจัดการทุน,นายเจริญชัย เฉลียวเกรียงไกร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ,ดร.ภานุวัฒน์ คำใสย เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี,รศ.ดร.จรรยา ชาญชัยชูจิต ผู้อำนวยการศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์,คุณปฏิญญา ศิลสุภดลผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เต็ดตราแพ้คคุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย,คุณสุชัย กอประเสริฐศรี นายกสมาคมอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษไทย, นางสาวกาญจน์ชนิษฐา เอกแสงศรี ท้องถิ่นจังหวัดสระบุรีเข้าร่วม
จากวิกฤตโลกเดือดที่ทวีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบในทุกมิติการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero กลายเป็นภารกิจร่วมกันของคนทั้งโลกองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดว่า โลกจะร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2027 ซึ่งปัจจุบันอุณหภูมิของโลกขึ้นไปที่ 1.42 องศาเซลเซียสแล้ว สาเหตุสำคัญคือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในภาคพลังงานภาคการคมนาคมขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักทั่วโลกโดยในการประชุม COP28 มีบทสรุปสำคัญว่า โลกจะเปลี่ยนผ่านพร้อมเรียกร้องข้อตกลงให้ทุกประเทศลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อีกทั้งเกิดการระดมทุนมากกว่า 57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทย ได้แก่ มาตรการ Taxonomy และ CBAM เป็นต้น ซึ่งกระทบต่อภาคการผลิต นำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนแม้ผู้ประกอบการทุกระดับเริ่มเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แต่ยังทำได้ล่าช้าเนื่องจากวิกฤตด้านพลังงาน เงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงยังขาดแคลนเงินทุนเทคโนโลยี และองค์ความรู้อีกจำนวนมาก นอกจากนี้เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเนื่องจากได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น เช่น อากาศแปรปรวน มลพิษ เป็นต้น
ESG
Symposium 2024เป็นเวทีระดับประเทศที่มุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ
ภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
ประสบการณ์ระดมความคิดเห็นและแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG และการพัฒนาอย่างยั่งยืนจากไทย
อาเซียน และระดับโลกเพื่อหาแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน
นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า เพื่อให้การทำงานในรูปแบบความร่วมมือ PPP (Public - Pirvate - People-Partnership)เกิดความชัดเจน ทุกฝ่ายได้ร่วมกันคิด วางแผน และกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินงาน จังหวัดสระบุรี จึงได้มีประกาศแต่งตั้งที่ปรึกษารวมทั้งมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการและคณะทำงานขับเคลื่อนเมืองสระบุรีคาร์บอนต่ำจำนวน 9 คณะ โดยที่ปรึกษาและคณะทำงาน เป็นการบูรณาการเพื่อให้เกิดความร่วมมือจาก 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาคประชาสังคมภาควิชาการ ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชนโดยเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ล้านต้นคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่าภายในปี พ.ศ. 2570 มาจากการดำเนินการใน 5 มิติหลัก ได้แก่1.กระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ จำนวน 3.5 ล้านตันฯ 2.การเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด จำนวน 1.47 ล้านตันฯ3.การบริหารจัดการของเสีย จำนวน 9,500 ตันฯ4.การเกษตรคาร์บอนต่ำ จำนวน 500 ตันฯและมิติที่ 5 ซึ่งเป็นการดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ ด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจก จำนวน 20,000 ตันฯ
โดยตลอดระยะเวลา 1
ปีที่ผ่านมา จังหวัดสระบุรีได้ประสานความร่วมมือในการทำงาน กับทุกภาคส่วน
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานในทุกมิติ ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการ
และไม่เป็นทางการโดยจังหวัดสระบุรีพร้อมที่จะเป็นจังหวัดนำร่องในการทดลองใช้เทคโนโลยี
นวัตกรรม หรือเป็นพื้นที่ในการศึกษาวิจัย ของหน่วยงานต่างๆ
โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยี นวัตกรรมหรือองค์ความรู้ต่างๆ
ที่ได้จากการทดลอง มาปรับใช้ในพื้นที่
และขยายผลไปยังพื้นที่จังหวัดอื่นๆเพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้
สำหรับมิติที่ 1 การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด -จังหวัดสระบุรีได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงพร้อมทั้งประกาศเจตนารมณ์กรอบความร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง -ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตัน สหรัฐอเมริกา ในการศึกษาศักยภาพของพื้นที่จังหวัดสระบุรีสำหรับการผลิตและติดตั้งพลังงานสะอาดจากลมและแสงอาทิตย์ -ร่วมมือกับ กฟภ. ในการดำเนินโครงการ Solar Carport เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายใน ศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี-ติดตั้ง Solar Cell เพื่อผลิตพลังงานใช้ในที่ว่าการอำเภอ -ร่วมมือกับ กฟผ. ในการศึกษาผลกระทบรูปแบบ และแนวทางการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียนรูปแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้กระทบเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงาน-ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่การติดตั้งระบบพลังงานทดแทน (Solar Floating, Solar Farm)
นอกจากนี้จังหวัดสระบุรี
ยังได้ร่วมมือกับบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ในการติดตั้งสถานี EV Charger ขนาดใหญ่ในพื้นที่ เป็นต้น 2.
มิติกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์โดยการดำเนินการในมิตินี้จะมุ่งเน้นการดำเนินในกลุ่มผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก
ทั้งในส่วนของ- การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ จากปูนซิเมนต์ปอร์ดแลนด์ (OPC)เป็นปูนซิเมนต์ไฮครอลิก หรือปูนลด โลกร้อน
พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้ปูนซิเมนต์ลดโลกร้อนในโครงการก่อสร้างของหน่วยงานภาคราชการ
และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-การปรับเปลี่ยนระบบการขนส่งในภาคอุตสาหกรรม-การส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานเพื่อใช้ทนแทนพลังานจากฟอสซิล-การส่งเสริมและผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมสีเขียว(Green
Industrys- รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ
และพื้นที่ทำเหมือง 3. มิติเกษตรคาร์บอนต่ำมุ่งเน้นการดำเนินการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
และวิธีการปลูกข้าวของเกษตรกรตามโครงการนาเปียกสลับแห้ง
ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ดำเนินการหนึ่งพันหนึ่งร้อยไร่เศษ
โดยผลผลิตที่ได้จากการทำนาเปียกสลับแห้งนำมาผลิตเป็นข้าวรักษ์โลกสระบุรี
เพื่อจำหน่ายโดยจังหวัดสระบุรี-มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ดำเนินการให้ได้อย่างน้อย
2,000 ไร่ ในปี พ.ศ. 2569-การรวบรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ กลุ่มผู้ใช้น้ำ
รวมไปถึงการเรียนรู้ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเก็บข้อมูล-เชื่อมโยง Supply
Chain (ภาคเอกชน โรงสี พ่อค้าผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว)เพื่อสร้างโอกาสและขยายตลาดทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น-การวิจัยสายพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมในการทำนาเปียกสลับแห้ง
4. มิติการบริหารจัดการของเสีย-
จังหวัดสระบุรีมีการบริหารจัดการขยะตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ผ่านแผนปฏิบัติการ
จัดการขยะมูลฝอยชุมชน "จังหวัดสะอาด" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561
โดยการบริหารจัดการขยะต้นทางตามโครงการธนาคารขยะ และถังขยะเปียกลดโลกร้อน
โดยในรอบการประเมินที่ผ่านมา อบก.
ได้รับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนของจังหวัดสระบุรี
จำนวน 3,495 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า คิดเป็นมูลค่าต้นละ 280 บาท
เป็นเงินเก้าแสนบาทเศษ
-ด้านการขยายผลและเทคโนโลยี
จังหวัดสระบุรีร่วมมือกับ วว.
ในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริหารจัดการของเสียต้นทางจนถึงปลายทางภายใต้ตามโครงการตาลเดี่ยวโมเดลซึ่งต่อยอดมาจากโครงการธนาคารขยะ
และขยายผลการดำเนินการในพื้นที่นำร่อง 8 แห่ง (6 โรงเรียน 1 วัดและ 1
ห้างสรรพสินค้า)
-นอกจากนี้จังหวัดสระบุรีโดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ได้หารือร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อดำเนินโครงการโรงเรียนไร้ขยะ โดยการจับคู่ผู้ประกอบการภาคเอกชน กับโรงเรียน เพื่อบริหารจัดการขยะ ในลักษณะของการทำโครงการ CSR โดยการบริหารจัดการของเสียในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ประชาชนในพื้นที่จะต้องมีรายได้ และได้รับประโยชน์จากการดำเนินการ (กองทุนสวัสดิการชุมชน , ทุนการศึกษา , สิ่งของสนับสนุนสำหรับกลุ่มเปราะบาง)
มิติที่ 5 ได้แก่ ด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน- จังหวัดสระบุรีมีเป้าหมายในการดำเนินการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่1.การยกระดับป่าชุมชน 38 ป่า + 7 ป่า รวม 45 ป่า คิดเป็นพื้นที่ 15,000 ไร่2.การอนุรักษ์พื้นที่ป่าเดิม 500,000 ไร่ และ 3. การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่นอกป่า (พื้นที่เกษตร สปก. บ้าน วัด โรงเรียน) จำนวน 10,000 ไร่ โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเพิ่มพื้นที่ป่าให้กับชุมชน เด็กและเยาวชนรวมถึงประโยชน์ที่ทุกภาคส่วนจะได้รับจากการดำเนินการ-การเชิญชวนภาคเอกชนสนับสนุนป่าชุมชน (CSR / ประโยชน์ด้านคาร์บอนเครดิต /สิทธิประโยชน์ทางภาษี)
ทั้งนี้ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว นอกจากจะได้พื้นที่ป่าเพื่อดูดซับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกแล้วประชาชน และชุมชน จะต้องมีกิน มีใช้ และมีรายได้จากการดำเนินการ ทั้งในส่วนของการปลูกพืชกินได้การจำหน่ายผลผลิตที่ได้จากป่าชุมชน การขายคาร์บอนเครดิต และรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ในพื้นที่ป่า เป็นต้น ซึ่งหากประชาชนและชุมชนมีกิน มีใช้ และมีรายได้ ประชาชนและชุมชนจะช่วยกันอนุรักษ์และดูแลป่าเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต จากที่ได้นำเรียนว่าโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เป็นความร่วมมือในการขับเคลื่อนการทำงานจากหลายภาคส่วน ดังนั้น ผมจึงได้มีหลักสำคัญในการทำงานร่วมกัน 4 ข้อ ได้แก่1."ทำทันที" 2."ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก" (สามารถปรับการทำงานได้ตลอดเวลาตามแนวทางของแซนด์บ็อกซ์) 3."เห็นต่างได้ แต่ห้ามขัดแย้ง" (การทำงานร่วมกันหลายฝ่าย อาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเพราะฉะนั้นจึงต้องหาข้อสรุปและแนวทางที่เหมาะสมร่วมกันเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล) 4.ทำโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซีต้อง "ยิ้ม" (เพื่อลดความเครียด/ความกดดัน และเกิดความสนุกในการทำงานร่วมกัน)ซึ่งหากทุกภาคส่วนมีเป้าหมาย และหลักในการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้การขับเคลื่อนโครงการสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ เกิดผลสัมฤทธิ์ในการทำงาน และสามารถเป็นตัวอย่างให้จังหวัดและหน่วยงานอื่นๆ นำไปเป็นแนวทางในการทำงานในพื้นที่ได้ในอนาคต ณ ห้อง SX Grand
ร.ต.สุประวีณ์ บุญธิคำ
บรรณาธิการข่าว รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น