วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564


 

/ สระบุรี  “มนัญญา” ห่วงการแพร่ระบาดโรคลัมปี - สกิน  กระทบอุตสาหกรรมโคนมประเทศ ลงมอบยา เวชภัณฑ์ เครื่องพ่นยาชุด PPE ให้สหกรณ์เขตภาคกลาง 15 แห่ง เพื่อสกัดการแพร่ระบาดในโคนม  พร้อมกำชับ อ.ส.ค. และสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม เฝ้าระวังโรคและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด   


 

 เมื่อ วันที่28 พ.ค. 2564)  นางสาว มนัญญา ไทยเศรษฐ์   รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะได้ลงพื้นเป็นประธานกิจกรรม "โครงการรณรงค์ป้องกันโรคลัมปี-สกิน" (Lumpy Skin Disease) ณ ฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง  องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย  (อ.ส.ค.) อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี   พร้อมมอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลง พร้อมถังฉีดพ่นให้กับ สหกรณ์เขตภาคกลาง 15 แห่งที่ส่งน้ำนมให้ อ.ส.ค.  เพื่อนำไปใช้เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรค ลัมปี – สกิน ที่ส่งผลกระทบอยู่ในขณะนี้  จากนั้นพร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกร  ซึ่งเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและส่งน้ำนมดิบให้ อสค.   พร้อมได้ชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ณ ณัฎฐ์ฟาร์ม หมุ่ที่ 2 ตำบลมวกเหล็ก  อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี


 -----  ด้าน  นางสาวมนัญญา  ไทยเศรษฐ์   รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่าจากสถานการณ์โรคระบาดการติดเชื้อไวรัส ลัมปี - สกิน (Lumpy skin disease) ที่ยังวิกฤติหนักในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือทั่วประเทศ  โดย  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อย่างมากและกำชับให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน   ตนในฐานะผู้กำกับดูแลองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)   มีความห่วงใยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบให้กับสหกรณ์ทั่วประเทศ  ซึ่งปัจจุบันอ.ส.ค.มีสมาชิกส่งน้ำนมดิบให้กับอ.ส.ค.ทั่วประเทศจำนวน 5,952 ราย มีจำนวนโครวม 174,658 ตัวส่งน้ำนมดิบให้อ.ส.ค.ประมาณ 874 ตัน/วัน โดยพื้นที่ภาคกลางมีสหกรณ์โคนมที่ส่งน้ำนมดิบมากที่สุดคือจำนวน 15 สหกรณ์  มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม 2,380 ราย และจำนวนโคนม 65,863ตัว  จึงได้สั่งการให้อ.ส.ค.เฝ้าระวังโรคในพื้นที่พร้อมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดและให้รายงานสถานการณ์มายังตนอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง  



 ---- ส่วนในปัจจุบันนั้น ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศประมาณ 11,393 ครอบครัว จำนวนโคทั้งหมด 427,311 ตัว    หากเราไม่เร่งสกัดการแพร่ระบาดในพื้นที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อาจส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศในอนาคตได้   โดยฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูงของอ.ส.ค.จะเป็นฟาร์มต้นแบบในการเลี้ยง การผลิตน้ำนมโคและการดูแลสุขภาพโคนม รวมทั้งการวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้เกษตรกร หน่วยงานต่างๆได้เข้ามาศึกษา เรียนรู้การเลี้ยงโคนมมีประสิทธิภาพและนำไปสู่อาชีพอย่างยั่งยืนในอนาคต”   รมช.มนัญญา  กล่าว


 --- ส่วนด้าน นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)  กล่าวว่า ปัจจุบัน อ.ส.ค. มีสหกรณ์และศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบในเขตพื้นที่ส่งเสริมของ อ.ส.ค.ทุกภูมิภาคจำนวน 52 แห่ง ปริมาณน้ำนมดิบ แยกเป็นพื้นที่ภาคกลางจำนวน 15 สหกรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 สหกรณ์ ภาคใต้ 8 สหกรณ์ ภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่) 3 สหกรณ์และภาคเหนือตอนล่าง (สุโขทัย) จำนวน 16 สหกรณ์ซึ่งทั้งหมดจะส่งน้ำนมดิบสำหรับป้อนกำลังผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเพื่อจำน่ายในรูปแบบนมพาณิชย์และนมโรงเรียนประมาณวันละ600-800 ตัน/วัน  ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรค ลัมปี – สกิน ที่ส่งผลกระทบอยู่ในขณะนี้  ทำให้ อ.ส.ค. กำชับเจ้าหน้าที่กวดขันและเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเข้ามาในพื้นที่การเลี้ยงโคนมของอ.ส.ค.อย่างเข้มงวด  เพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมของประเทศ   รวมทั้งกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรมโคนมของ อ.ส.ค. ในอนาคต



 -- สมพงษ์ ปานรุ่ง ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ. สระบุรี/ภาพ /ข่าว

จ.ส.อ.สุประวีณ์  บุญธิคำ /0944311315/ บรรณาธิการข่าว /รายงาน





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น